ก่อนที่จะเริ่มเล่นหุ้น เราควรสำรวจตัวเองให้ดีก่อนว่า “เรายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน”
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะประเมินตัวเองยังไงดี แนะนำให้ลองทำ >> แบบทดสอบระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ << ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งจะช่วยให้เราประเมินตัวเองได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
การรู้จักสไตล์การลงทุนจะช่วยให้เรารู้ว่าตัวเองเหมาะกับการลงทุนแบบไหน ซึ่งกลยุทธ์ในการลงทุนที่ถูกต้องและเหมาะกับตัวเราจะสามารถนำไปสู่ผลตอบแทนในระยะยาวได้ สไตล์การลงทุนแบ่งออกได้เป็น 3 สไตล์ ดังนี้
ถ้าหากยังไม่แน่ใจว่าสไตล์การลงทุนแบบไหนที่เหมาะกับเรา แนะนำให้ลองทำแบบทดสอบ >> ค้นหาสไตล์การลงทุนของคุณ << เพื่อดูว่าเราเหมาะกับสไตล์การลงทุนแบบไหน
การรู้จักหุ้นที่เราต้องการลงทุน รู้ว่าหุ้นนั้นเป็นประเภทไหน เช่น โตเร็วหรือโตช้า มีเงินปันผลไหม เป็นต้น จะช่วยให้เราเลือกลงทุนในหุ้นที่โดนใจและตรงกับความต้องการของเราได้ นักลงทุนชื่อดังอย่าง “ปีเตอร์ ลินซ์” (Peter Lynch) ก็ได้แบ่งประเภทหุ้นออกเป็น 6 ประเภท ดังนี้
1. หุ้นโตช้า (Slow Growers) เป็นหุ้นที่ธุรกิจค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว แต่ยังจ่ายปันผลดีสม่ำเสมอ
2. หุ้นแข็งแกร่ง (Stalwarts) เป็นหุ้นที่มีธุรกิจเติบโตเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา เป็นหุ้นที่มีความปลอดภัยและอยู่รอดได้แม้จะเกิดวิกฤตอะไรก็ตาม
3. หุ้นเติบโต (Fast Growers) เป็นหุ้นที่อยู่ในช่วงขยายธุรกิจ มีศักยภาพในการเติบโต จึงมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาไม่นาน
4. หุ้นวัฏจักร (Cyclical) เป็นบริษัทที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าเกษตรต่าง ๆ ที่มีรายได้และกำไรขึ้นลงเป็นฤดูกาลตามภาวะเศรษฐกิจและราคาของสินค้าที่จำหน่าย
5. หุ้นฟื้นตัว (Turnaround) เป็นบริษัทที่เคยมีผลประกอบการแย่หรือขาดทุน แต่มีสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจนขึ้น จึงมีโอกาสทำกำไรได้มาก แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
6. หุ้นสินทรัพย์มาก (Asset Play) เป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ที่ยังไม่รับรู้มูลค่าเต็มที่ซ่อนอยู่ในงบดุล เช่น ที่ดิน เงินสด หรืออื่นๆ เป็นต้น ถ้าหากมีการรับรู้มูลค่าของสินทรัพย์ดังกล่าวก็มีโอกาสที่มูลค่าหุ้นจะปรับสูงขึ้นตาม
ก่อนจะเริ่มเล่นหุ้นได้ แน่นอนว่าเราต้องเปิดบัญชีซื้อ-ขายหลักทรัพย์ก่อน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “เปิดพอร์ต” ซึ่งขั้นตอนในการเปิดพอร์ตก็ทำได้ง่ายมาก ๆ เพราะปัจจุบันสามารถทำผ่านช่องทางออนไลน์ได้เกือบทุกโบรกเกอร์ ส่วนประเภทบัญชีในการซื้อ-ขายหลักทรัพย์นั้นแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
เอกสารเบื้องต้นในการขอเปิดพอร์ตหุ้นแบบออนไลน์
เมื่อเปิดบัญชีสำเร็จแล้ว เราก็จะได้ชื่อบัญชี (Usename) และรหัสผ่าน (Password) สำหรับใช้ในการส่งคำสั่งซื้อ-ขาย และติดตามพอร์ตการลงทุน ซึ่งเราสามารถทำการซื้อขายในมือถือได้ผ่านแอปพลิเคชัน Streaming หรือแอปของโบรกเกอร์ที่เราเปิดบัญชี เช่น เปิดบัญชีกับหลักทรัพย์กสิกรไทยก็สามารถใช้แอป K-Cyber Trade ในการเล่นหุ้นได้ เป็นต้น
ส่วนข้อสงสัยที่ว่าจะเปิดพอร์ตกับที่ไหนดี แนะนำว่าให้เปรียบเทียบอัตราค่านายหน้า (Commission) ว่าเราพอใจกับอัตราค่านายหน้าและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของโบรกเกอร์ไหน รวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่เราจะได้รับ ทั้งนี้สามารถสอบถามหรือขอข้อมูลเพิ่มเติมได้กับทางโบรกเกอร์โดยตรง
การลงทุนในหุ้น (Stock) คือ การที่เราเข้าซื้อหรือถือหุ้น ซึ่งจะทำให้เรามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการตามสัดส่วนในการถือครอง เราสามารถเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นได้ และยังจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผล (Dividend) และกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้น (Capital gain) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นนั้นจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานของบริษัทนั้น ๆ จุดเด่นของสินทรัพย์ลงทุนประเภทนี้คือความหลากหลายทั้งในด้านของความเสี่ยงและผลตอบแทน
ส่วนใครที่ยังคิดไม่ตกว่าจะลงทุนในหุ้นดีไหม หรือมือใหม่ที่อยากทดลองเล่นหุ้นก่อนลงสนามจริง เราขอแนะนำแอปพลิเคชัน “Streaming Click2Win” แอปที่จะช่วยให้เราได้ทดลองซื้อ-ขายหุ้นแบบสมจริง ถือเป็นแอปที่เหมาะกับมือใหม่หัดเล่นหุ้นมาก ๆ สามารถเข้าไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่
ที่มาข้อมูล